เวลา 07:05 ของเช้าที่สดชื่น Air Asia FD-642 พาเราบินลัดฟ้ามาลงยังสนามบินนานาชาติ Noi Bai ของกรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม ใช้เวลาเพียงประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่ง
Noibai International Airport ของฮานอยเป็นสนามบินที่มีขนาดไม่ใหญ่นัก มีความทันสมัยพอสมควร ขั้นตอนการตรวจเข้าเมืองเรียบง่ายและรวดเร็ว
เเวะซื้อ Internet SIM Card ของบริษัทโทรศัพท์ค่าย Vietel ราคา 250,000 ดอง ใช้ได้ 8GB ในเวลา 30 วัน
จากข้อมูลที่ศึกษามา เราเลือกที่จะลากกระเป๋ามารอรถเมล์ Airport Bus สาย 86 เพื่อเดินทางเข้าเมือง เเทนที่จะต้องไปฟาดฟัน-ต่อรองราคากับเเท็กซี่ที่จอดกันสลอนอยู่หน้าสนามบิน (แท็กซี่ที่เวียดนามขึ้นชื่อเรื่องตุกติก ต้องระวังให้ดี)
พอออกจากห้องผู้โดยสารขาเข้า เดินข้ามถนนที่มีเเท็กซี่จอดอยู่ แล้วเลี้ยวซ้ายมายังป้ายรถเมล์ จะมีป้ายบอกชัดเจน รอซักพักนึงรถก็มา
รถเมล์สาย 86 เป็นเเอร์พอร์ตบัส เริ่มต้นจาก Terminal 1 (สนามบินภายในประเทศ) ปลายทางที่สถานีรถไฟฮานอยในย่าน Old Quarter สภาพรถใหม่เอี่ยม-ติดเเอร์อย่างดี บรรยากาศบนรถครึกครื้นเป็นกันเอง เพราะส่วนใหญ่เป็นนักเดินทาง-ท่องเที่ยวกันทั้งนั้น ตอนมาถึงป้ายของเรา @Terminal 2 ที่นั่งก็เลยค่อยข้างเต็มแล้ว เเต่ยังมีที่ว่างเหลือเฟือ มีเด็กรถคนนึงคอยเดินเก็บค่าโดยสารและช่วยดูเเลเรื่องการจัดวางกระเป๋าสัมภาระ ค่าโดยสารคนละ 30,000 VND (ตกประมาณ 45 บาทเท่านั้น)^^
ใช้เวลาประมาณ 50 นาทีก็ถึงบริเวณ Old Quarter ที่พักที่เราจองไว้ตั้งอยู่บนถนน Lo Su ไม่ไกลจากทะเลสาบ Hoan Kiem
— Review: Hanoi La Siesta Diamond Hotel & Spa —
ฝากกระเป๋าไว้ที่โรงเเรม แล้วเดินไปเช็คคอนเฟิร์มเรื่องตั๋วรถทัวร์ไปซาปาที่อ๊อฟฟิต Sapa Express Bus ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงแรม เสร็จแล้วก็เริ่มออกเดินสำรวจเมืองกัน.. ซินจ่าว ฮานอย
ฮานอย เป็นเมืองหลวงของประเทศเวียดนาม ในอดีตเคยเป็นเมืองหลวงของเวียดนามเหนือ ในระหว่างปีพ.ศ. 2497 ถึง 2519 (เมื่อครั้งยังไม่ได้รวมประเทศ) ปัจจุบันจัดได้ว่าเป็นเมืองที่กำลังเติบโต ทั้งในด้านเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว เเม้ว่าโดยรวมจะยังดูล้าหลังกรุงเทพฯ แต่การที่ยังคงมีวิถีชีวิตและวัฒนธรรมในแบบดั้งเดิม ก็กลายเป็นเสน่ห์ที่ทำให้นักท่องเที่ยวจากทุกสารทิศหลั่งไหลเข้ามาเยี่ยมชมกันเป็นจำนวนมาก เท่าที่เราพบ มีทั้งฝรั่ง ญี่ปุ่น จีน เกาหลี ฯลฯ รวมไปถึงนักท่องเที่ยวชาวไทยอย่างเรา..
กระเป๋าและเสื้อเเจ็คเก็ต เป็นสินค้ายอดฮิตของนักท่องเที่ยว เนื่องจากมีราคาถูกมาก
ศุนย์กลางของย่านการท่องเที่ยวโอลด์ควอเตอร์ (Old Quarter) ใกล้กับทะเลสาบฮวานเกี๊ยม (Hoan Kiem Lake) คือย่านเมืองเก่าในกรุงฮานอยที่มีเอกลักษณ์บ่งบอกถึงความเป็นเวียดนามในแบบดั้งเดิมได้อย่างชัดเจน ทำให้ที่นี่กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ชอบมาเดินชมบรรยากาศความเก่าแก่และช้อปปิ้งสินค้าราคาประหยัด ตามถนนตรอกซอกซอยที่ทอดยาวทับซ้อนกันถึง 36 ซอย โดยในแต่ละซอยก็จะมีทั้งร้านอาหารพื้นเมือง ร้านขายของเก่า ร้านค้าแผงลอย ที่มีสินค้าของฝากของที่ระลึกให้เลือกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เครื่องประดับ ฯลฯ ส่วนในตอนค่ำที่นี่ก็เป็นเเหล่งดื่ม-กินและเเฮ้งค์เอ้าท์ยอดนิยมของชาวเมืองตลอดจนนักท่องเที่ยว
ทะเลสาบฮวานเกี๊ยม (Haon Kiem Lake) หรือที่เรียกกันว่า ทะเลสาบคืนดาบ เนื่องจากมีตำนานเล่าขานกันมาว่า ในสมัยที่ราชวงค์หมิงของจีนปกครองเวียดนามนั้น กลุ่มกบฎลามเซิน (Lam Son) ที่นำโดยเลเลย (Le Loi) ได้ใช้ดาบสีเเมลงทับที่ขุดพบเข้าทำสงครามกับจีนในปี ค.ศ. 1418-1428 จนนำชัยชนะมาสู่เวียดนาม จากนั้นจึงได้สถาปนาตนเองขึ้นเป็น จักรพรรดิ์ลี้ไถ่โต (Ly Thai To) ปฐมกษัตริย์แห่งเวียดนาม และย้ายเมืองหลวงมายังเมืองทังลอง หรือกรุงฮานอยในปัจจุบัน
อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่เรือขิงจักรพรรดิ์ลี้ไถ่โตแล่นอยู่กลางทะเลสาบลุกถวี (Luc Thuy Lake) ได้มีเต่าขนาดใหญ่ตัวหนึ่งโผล่ขึ้นมาบนผิวน้ำแล้วลอยคออยู่ข้างๆเรือ ก่อนจะกล่างกับพระองค์ว่า “..ฝ่าพระบาท บัดนี้ภารกิจใหญ่หลวงได้สำเร็จลุล่วงแล้ว จงคืนกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ให้เเก่เจ้าแห่งท้องทะเลด้วยเถิด..” เมื่อจักรพรรดิ์ลี้ไถ่โตได้ยินดังนั้น จึงโยนดาบวิเศษคืนให้ไป เมื่อได้ดาบคืน เต่าตัวนั้นก็ดำน้ำหายไปทันที นับเเต่นั้นมา ทะเลสาบลุกถวีก็ได้ถูกเรียกขานกันต่อๆมาว่า ทะเลสาบฮวานเกี๊ยม หรือทะเลสาบคืนดาบนั่นเอง
และหากมองไปกลางทะเลสาบจะเห็นเจดีย์โบราณโผล่ขึ้นพ้นน้ำ เรียกว่า ทาพรัว (Thap Rua) หรือ หอคอยเต่า และยังเป็นที่กล่าวขานกันว่ายังเห็นเต่าขนาดใหญ่อยู่ในทะเลสาบแห่งนี้ โดยเฉพาะช่วงเปลี่ยนฤดูกาล
ปัจจุบันทะเลสาบฮวานเกี๊ยมกลายเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ของฮานอย ประชาชนและนักท่องเที่ยวต่างนิยมมาเดินเล่นและพักผ่อน
วัดหง็อกเซิน (Ngoc Son Temple): เป็นวัดที่กษัตริย์แห่งราชวงศ์เล รับสั่งให้สร้างขึ้นเพื่ออุทิศแก่เว็นเชือง (Van Xuong) กวีเอกคนสำคัญกับแม่ทัพจัน ฮุง ด่าว (Tran Hung Dao) หนึ่งในวีรบุรุษของชาวเวียดนาม ที่ใช้แผนล่อลวงกองทัพเรือมองโกลของกุบไลข่าน (Kublai Khan) ให้ไหลไปตามแม่น้ำบักดัง (Bach Dang River) แล้วใช้กลอุบายนำเสาไม้ไปปักไว้ใต้น้ำ ทำให้เรือกองทัพมองโกลที่แล่นมาอัปปางลงกระทั่งพ่ายแพ้กลับไป
ประตูแห่งความสำเร็จ ทางเข้าสู่บริเวณวัด Ngoc Son
หลังจากนั้นก็จะผ่านประตูอีกสองชั้น
ผ่านซุ้มประตูเข้ามาแล้ว ต้องซื้อตั๋วเข้าชมราคา 30,000 VND แล้วเดินข้ามสะพานแดงไปยังบริเวณวัดซึ่งตั้งอยู่บนเกาะเล็กๆกลางทะเลสาบ
ด้านข้างของวัดจะมีภาพถ่ายและเต่ายักษ์ขนาดลำตัวยาว 1.21 เมตร หนัก 250 กิโลกรัม สต๊าฟอยู่ในตู้กระจก ว่ากันว่าเต่าตัวนี้ขึ้นมานอนตายที่คอคอยเต่า ทางวัดเลยนำมาสต๊าฟไว้อย่างที่เห็น ส่วนรูปเต่ายักษ์ถูกถ่ายไว้ได้ขณะที่มันโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ
ริมถนนฝั่งตรงข้ามวัด Ngoc Son มี อนุสาวรีย์แห่งการปฎิวัติ (Martyrs’s Monument) ที่สร้างขึ้นเพื่อเทิดทูนเหล่านักรบหญิงชายชาวเวียดนาม ซึ่งได้ร่วมกันต่อสู้จนนำเอกราชของเวียดนามคืนมา
อนุสาวรีย์จักรพรรดิ์ลี้ไถ่โต (Ly Thai To Statue): เป็นรูปปั้นทองเเดงขนาดใหญ่ของจักรพรรดิ์ลี้ไถ่โต ยืนหันหน้าไปยังทะเลสาบ Hoan Kiem
จักรพรรดิ์ลี้ไถ่โต คือวีรบุรุษผู้ปลดเเอกเวียดนามจากอำนาจการปกครองของจีน ที่มีมาหลายร้อยปี โดยในช่วงที่ราชวงศ์หมิงของจีนเข้าปกครองเวียดนามในปี ค.ศ.1407 นั้น ถือเป็นยุคมืดของชาวเวียดนามเลยก็ว่าได้ เพราะจีนได้ทำลายวัฒนธรรมและเอกลักษณ์ความเป็นเวียดนามจนหมดสิ้น ไม่ว่าจะเป็นวรรณคดี ศิลปะ แม้กระทั้งจารึกเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ โดยได้รวบรวมสิ่งของเหล่านั้นไปเผาทิ้ง บางส่วนก็ถูกนำไปเก็บไว้ที่ประเทศจีน รวมถึงยังพยายามนำวัฒนธรรมของตนเข้ามาแทน เช่นการให้ผู้หญิงเวียดนามแต่งกายและไว้ผมแบบจีน
เลเลย (Le Loi) ชายหนุ่มผู้ที่มีสมญานามว่า เจ้าชายแห่งสันติสุข ซึ่งอดทนต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองไม่ไหว จึงรวบรวมกำลังพลเข้าต่อต้านจีน โดยใช้ยุทธวิธีกองโจรซุ่มโจมตี กระทั่งนำชัยชนะสู่เวียดนามได้สำเร็จ ก่อนสถาปนาตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์นามว่า จักรพรรดิ์ลี้ไถ่โต (Ly Thai To) และย้ายเมืองหลวงมาที่เมืองทังลอง (ฮานอยในปัจจุบัน)
เดินลัดเลาะรอบทะเลสาบ Hoan Kiem ไปยังด้านทิศตะวันตก ผ่าน โรงละครหุ่นกระบอก (Thang Long Water Pippet Theatre) ตรงหัวมุมถนน จะพบกับอนุสรณ์สถานของจักรพรรดิ์ลี้ไถ่โต (Monument of King Ly Thai To) อีกเเห่งหนึ่ง บรรยากาศร่มรื่นเงียบสงบดี
เดินเลยไปอีกหน่อย จะพบกับโบสถ์เซนต์โจเซฟ (St. Joseph Cathedral) ตามประวัติบอกว่าถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1886 ในช่วงที่ฝรั่งเศสเข้ามายึดครองเวียดนาม โดยใช้สถาปัตยกรรมสไตล์นีโอกอทิก ด้านหน้าโดดเด่นด้วยหอคอยคู่สูงถึง 31 เมตร เพราะสถาปนิกได้รับอิทธิพลจากมหาวิหารน็อตร์ดาม (Notre Dame) ในกรุงปรารีสนั่นเอง
ข้างๆกับโบสถ์เซนต์โจเซฟ มีร้านขนมหวาน Korean Bingsu อยู่ร้านนึง เดินมาเหนื่อยๆ ได้นั่งพักขากับชิมน้ำเเข็งไสสูตรเกาหลี (หน้าตาเหมือนๆกับที่ขายในบ้านเรา) ค่อยมีเรี่ยวแรงเดินต่อหน่อย^^
สถานีตำรวจ Hoan Kiem District Police
ระหว่างทางที่เดินไปยังโรงละครโอเปร่า ผ่านร้านไอศกรีมเก่าเเก่ที่ได้รับความนิยมและมีชื่อเสียงมายาวนานกว่า 50 ปี Kem Trang Tien แวะชิมเเล้ว คอนเฟิร์มว่าอร่อยจริง..^^
ฮานอยโอเปร่าเฮ้าส์ (Hanoi Opera House): อาคารสีเหลือง-ขาวโดดเด่นที่บริเวณวงเวียน Quang Truong CMT8 สร้างในระหว่างปี ค.ศ. 1901-1911 โดยเป็นสถาปัตยกรรมแบบฝรั่งเศส ผสมผสานศิลปะแบบกอทิกและโมเสก (Gothic & Mosaic Arts) เพื่อใช้เป็นสถานที่ชุมนุมผู้รักการแสดงละคร, บทเพลงเก่าๆ, ซิมโฟนี่, โอเปร่า และคลาสิกโอเปร่า ฯลฯ
อาคาร Hanoi Stock Exchange ฝั่งตรงข้ามกันกับโอเปร่าเฮ้าส์
ถัดจากฮานอยโอเปร่าเฮ้าส์ไปเล็กน้อย คือพิพิธภัณท์ประวัติศาสตร์เวียดนาม (Vietnam National Museum of History) สร้างในระหว่างปี ค.ศ. 1926-1932 เพื่อจัดเเสดงผลงานของสถาบันวิจัยทางโบราณคดีที่เก่าแก่แห่งฝรั่งเศส (Ecole Francaise d’Extreme-Orient : EFEO) เมื่อเวียดนามได้รับเอกราช รัฐบาลจึงเปลี่ยนชื่อมาเป็นพิพิธภัณท์ประวัติศาสตร์เวียดนาม และเปิดให้ประชาชนเข้าชมครั้งแรกในวันที่ 3 กันยายน ต.ศ. 1958
ตอนค่ำเราเดินเที่ยวชมบรรยากาศและหาของกินในย่านโอลด์ควอเตอร์ (Old Quarter) ใกล้กับที่พัก ชีวิตกลางคืนในย่านนี้คึกคักและคราคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยว (และคนท้องถิ่น) บรรยากาศครึกครื้น เป็นกันเอง^^
จบทริปของวันนี้ด้วยมื้อค่ำแสนอร่อย
วันนี้หมดเเรงแล้ว พรุ่งนี้ค่อยกลับมาตะลุยฮานอยกันต่อนะครับ “O_O”
แชร์เรื่องนี้: