28-November-24
  • Menu

เยือนถิ่นอินโดนีเซีย (3): เปลวไฟสีฟ้าที่คาวาอีเจี้ยน (Kawah Ijen)

Home » เยือนถิ่นอินโดนีเซีย (3): เปลวไฟสีฟ้าที่คาวาอีเจี้ยน (Kawah Ijen)

Loading

คาวาอีเจี้ยน (Kawah Ijen)

เวลาตีหนึ่ง เราออกเดินทางจากที่พักสู่บริเวณเชิงเขาอันเป็นจุดเริ่มต้นในการเดินเท้าขึ้นสู่ปากปล่องภูเขาไฟคาวาอีเจี้ยน มีนักท่องเที่ยวมารอ-เตรียมตัวอยู่แล้วเป็นจำนวนมาก คณะเราได้ติดต่อลูกหาบไว้เพื่ออำนวยความสะดวก เช่นช่วยแบกขนสัมภาระติดตัว (เป้หลัง, ขาตั้งกล้อง ฯลฯ) และที่เป็นประโยชน์มากที่สุดก็คือเขาจะเป็นพี่เลี้ยงคอยช่วยเหลือดูเเลเราด้วยตลอดการเดินเท้านี้ ต้องยอมรับและชื่นชมว่าลูกหาบพวกนี้มีความทรหดอดทนและเเข็งเเรงมาก เราสัมผัสได้ถึงความจริงใจ เอาใจใส่ และห่วงใยในความปลอดภัยของเรา คอยประกบ-ฉุดดึง และชี้เตือนในจุดที่อาจเป็นอันตราย (ซึ่งมีอยู่มากมาย) ให้กับเราตลอดเวลา

ด่านเก็บเงินก่อนเริ่มต้นการเดินขึ้น

บอดี้การ์ดประจำตัวของเรา^^

เราเริ่มออกเดินในเวลาประมาณตีสาม อุปกรณ์สำคัญที่จำเป็น(ในขณะนี้) คือไฟฉายติดตัว ระยะทางถึงยอดปากปล่องภูเขาไฟประมาณ 3-4 กิโลเมตร เเต่ต้องใช้เวลาในการเดินทางเกือบสองชั่วโมง เนื่องจากทางในบางช่วงชันเกือบ 45 องศา ประกอบกับความมืดจึงทำให้ต้องระมัดระวังมากเป็นพิเศษ

เราก้มหน้าเดินไปในความมืดอย่างไม่ลดละ หยุดพักหายใจเป็นช่วงๆ จำได้ว่าพอขึ้นไปถึงยอดเขา เราต้องเลี้ยวขวาเเล้วเดินไปตามสันเขาอีกพักใหญ่ๆ กว่าจะถึงจุดที่แยกลงไปยังปล่องด้านล่างอันเป็นจุดที่มีเหมืองกำมะถันและเปลวไฟสีน้ำเงิน (Blue Flame)

พอรุ่งเช้า เหลียวกลับไปดูก็ต้องอ้าปากค้าง เมื่อเห็นภาพของเส้นทางที่ได้เดินมา มันสวยงาม.. เเต่ก็อดระทึกใจถึงความอันตราย ถ้าหากมีใครสักคนเสียหลัก-พลัดตกลงไป “@.@”

 คาวาอีเจี้ยน (Kawah Ijen) เป็นอีกหนึ่งภูเขาไฟที่ยังไม่ดับสนิทของอินโดนีเซีย ตั้งอยู่ในเขตชวาตะวันออก (East Java) มีความสูงประมาณ 2,799 เมตร มีจุดเด่นคือ เปลวไฟสีน้ำเงิน (ฺBlue Flame) จากเหมืองกำมะถันและภาพทิวทัศน์ของทะเลสาบสีเขียวมรกตในปากปล่องภูเขาไฟอันสวยงาม

เนื่องจากในปล่องภูเขาไฟของคาวาอีเจี้ยนนั้นมีเเร่ธาตุกำมะถัน (ซัลเฟอร์) อยู่เป็นจำนวนมาก เมื่อก๊าซซัลเฟอร์ถูกดันออกมาจากรอยเเตกภายใต้ความดันสูงและที่อุณหภูมิ 600°C เมื่อเจอกับก๊าซอ็อกซิเจนจึงเกิดเป็นเปลวไฟสีน้ำเงิน (Blue Flame หรือ Blue Fire) ซึ่งจะสามารถเห็นได้เฉพาะในเวลากลางคืนเท่านั้น

ปริมาณกำมะถันที่มีอยู่เป็นจำนวนมากทำให้เกิดอาชีพขุดเอากำมะถันและลำเลียงออกไปขายโดยชาวบ้านในแถบนั้น จากการสอบถามได้ข้อมูลมาว่าในหนึ่งหาบของกำมะถันที่ชาวบ้านแบกลำเลียงออกมานั้น มีน้ำหนักประมาณ 70 กิโลกรัม โดยจะขายได้ในราคากิโลกรัมละ 1,000 รูเปียส์ (ประมาณ 2.60 บาท)

การลงไปยังเหมืองกำมะถัน จะต้องเดินลงจากปากปล่องอีกเป็นระยะทางประมาณ 700 เมตร (ทางเเยกด้านขวามือ)

ในบริเวณปล่องภูเขาไฟ จะมีกลิ่นก๊าซกำมะถันและควันเป็นจำนวนมาก จำเป็นจะต้องสวมหน้ากากและเเว่นตาเพื่อความปลอดภัย

Slide Gallery ภาพชุดเหมืองกำมะถัน

ตอนเราไปถึงเป็นเวลาเกือบสว่างแแล้ว ยังคงได้เห็นเปลวไฟสีน้ำเงินบ้างแต่เป็นจำนวนไม่มากนัก

Photo Credit:  OnosanPhotograph

เมื่อเเสงอาทิตย์เริ่มสาดส่องในตอนรุ่งเช้า ภาพแห่งความงดงามและยิ่งใหญ่ของคาวาอีเจี้ยน ก็ปรากฎขึ้นสู่สายตาของนักท่องเที่ยว..

Slide Gallery ภาพชุดภูเขาไฟคาวาอีเจี้ยน

จากจุดที่เดินลงไปยังเหมืองกำมะถัน เราสามารถเดินลัดเลาะไปตามขอบปล่องภูเขาไฟอีกหน่อย เพื่อไปยังจุดชมวิวอันสวยงามได้

ดื่มด่ำกับความสวยงามของทิวทัศน์และอากาศยามเช้าที่สดชื่นจนหนำใจแล้วเราก็เตรียมตัวเดินลงเขา ระหว่างทางยังคงได้ชื่มชมกับธรรมชาติที่เปลี่ยนไปตลอดเวลา เป็นความประทับใจที่ต้องจดจำไปอีกนาน….

Slide Gallery ภาพชุดทิวทัศน์ยามเช้า:

จุดแวะพักกลางทาง มีเครื่องดื่ม ชา-กาแฟบริการ

บริการ “แท็กซี่” สำหรับผู้ที่เดินไม่ไหว สามารถเรียกใช้ได้ตลอดตามรายทาง (ใช้บริการได้ทั้งขึ้นและลงเขา)

คาวาอีเจี้ยน จัดว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงาม น่าทึ่ง การเดินทางไม่ยากลำบากจนเกินไป การได้มาพิชิตและยืนสูดอากาศสดชื่นบนปากปล่องภูเขาไฟ (รวมไปถึงการได้สัมผัสเปลวไฟสีน้ำเงิน) สักครั้งหนึ่งในชีวิต นับเป็นประสบการณ์และความทรงจำที่ยากจะลืมเลือน..   “O_O”

Credit Video:  Viewfinder Thailand

ตอนต่อไป:  โบรโม่ ลมหายใจของเทพเจ้า (ที่รอวันตื่น)

แชร์เรื่องนี้: