เราเริ่มต้นโปรแกรมของวันนี้ที่ มหาปาสณคูหา (Maha Pasana Guha) มีความสำคัญทางพุทธศาสนา คือเป็นสถานที่ที่ใข้ในการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 6 (ค.ศ. 1954-1956) มีลักษณะเป็นหอประชุมกว้างใหญ่ ซ่อนตัวอยู้ใต้เนินดิน(มองดูคล้ายๆเป็นถ้ำ)
ภายในมีลักษณะเป็นห้องโถงประชุมขนาดใหญ่ มีอัฒจันทร์รอบๆ สามารถจุคนได้เป็นจำนวนมาก
ใกล้ๆกันกับมหาปาสณคูหา มี เจดีย์กาบาเอ (Kabar Aye Pagoda) ซึ่งสร้างโดยนายพลอูนุ นายกรัฐมนตรีคนเเรกของพม่าในปี 1952 เพื่อเป็นการเตรียมการสำหรับงานสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 6 ภายในประดิษฐานพระอัฐิธาตุของพระโมกคลานะและพระสารีบุตร อัครสาวกเบื้องซ้ายและขวาของพระพุทธเจ้า
วัดเจ๊าทัตจี (Chaukhtatgyi Buddha Temple) ที่นักท่องเที่ยวชาวไทยเรียกกันติดปากว่า พระนอนตาหวาน เป็นพระพุทธรูปปางไสยาสน์องค์ใหญ่ มีความสูงประมาณตึกหกชั้น ยาว 66 เมตร ดวงตาทำจากแก้ว มีขนาด 1.8 x 0.6 เมตร จึงทำให้ดูเเวววาวสวยงาม
ภายในวิหารเป็นอาคารโครงสร้างเหล็กขนาดใหญ่ มีจุดถ่ายภาพที่ทางวัดจัดพื้นที่ไว้ให้ เป็นแท่นยกสูงอยู่ทางด้านปลายเท้าของพระพุทธรูป ต้องปีนบันไดขึ้นไปเล็กน้อย
พระพุทธรูปนี้สร้างขึ้นในปี 1899 และเสร็จสิ้นในปี 1907 ผู้บริจาคที่ดินและค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างเป็นมหาเศรษฐีพม่าชื่อ Sir Po Tha
ตรงพระบาทเป็นภาพลายลักษณธรรมจักรในบริเวณใจกลางฝ่าพระบาท และล้อมด้วยรูปมงคล 108 ประการ
จากวัดเจ๊าทัตจี ถัดลงมาทางใต้จะเป็นทะเลสาบกันดอว์จี (Kandawgyi Lake) เป็นพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ที่ประกอบด้วย Kandawgyi Nature Park, Bogyoke Aung San Park, สวนสัตว์ Yangon Zoological Garden รวมไปถึง ภัตตาคารการะเวก (Karaweik Palace Restaurant) รูปทรงเป็นเรือขนาดใหญ่ที่มีนกการะเวกสีทองสองตัวเป็นสัญญลักษณ์ สถาปัตยกรรมนี้เลียนแบบมาจากเรือพระที่นั่งของกษัตริย์พม่าในสมัยโบราณ แต่เดิมสร้างไว้เพื่อใช้สำหรับต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง (ค.ศ. 1972) ปัจจุบันกลายสภาพเป็นภัตตาคารลอยน้ำแบบบุฟเฟต์นานาชาติ พร้อมกับชมการแสดงศิลปวัฒนธรรมของพม่า
อีกหนึ่งสถานที่ที่นักท่องเที่ยวชาวไทยรู้จักกันดี คือ เจดีย์โบตะตาว (Botahtaung Pagoda) ชื่อเจดีย์มีความหมายว่า “ทหาร 1,000 นาย” มีเรื่องเล่าว่าเมื่อกว่าสองพันปีที่แล้ว ในยุดสมัยของกษัตริย์มอญ พระเจ้าโอกะลาปะ ได้ทรงบัญชาให้นายทหารจำนวนหนึ่งพันนาย ตั้งแถวถวายสักการะแด่พระเกศาธาตุ ที่พ่อค้าสองพี่น้องชาวมอญได้อัญเชิญจากอินเดียมาทางเรือ และมาขึ้นฝั่งเมืองตะเกิงหรือดากอง ณ บริเวณนี้นั่นเอง จึงสร้างเจดีย์โบตะตาวไว้เป็นที่ระลึก พร้อมทั้งแบ่งพระพุทธเกศา 1 เส้นมาบรรจุไว้ ก่อนนำไปบรรจุในมหาเจดีย์ชเวดากอง และเจดีย์ที่สำคัญอื่นๆ
เพดานและผนังภายในเจดีย์ล้วนแต่เคลือบด้วยสีทองงามอร่าม พระเกศาธาตุบรรจุอยู่ในมณฑปครอบแก้วใส ประดิษฐานอยู่ที่ฐานใจกลางเจดีย์
ที่วิหารทางด้านขวาของเจดีย์ มีพระพุทธรูปทองคำงดงามปางมารวิชัย เก่าแก่ตั้งแต่สมัยพระเจ้ามินดง ซึ่งเคยประดิษฐานอยู่ในพระราชวังมัณฑะเลย์ ครั้นเมื่อพม่าตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษในปี พ.ศ. 2428 ได้ถูกเคลื่อนย้ายไปยังพิพิธภัณฑ์กัลกัตตาในอินเดีย เมื่อพม่าได้เป็นเอกราช อังกฤษจึงคืนกลับมาให้
ที่ศาลาริมน้ำทางด้านซ้ายมือของเจดีย์ จะมีรูปปั้น นัตโบโบจี หรือ เทพทันใจ ซึ่งชาวมอญและพม่านิยมมากราบไหว้สักการะบูชา เพราะเชื่อว่าอธิษฐานขอสิ่งใดแล้วจะได้ตามปรารถนาสมหวังทันใจนั่นเอง ด้วยชื่อเสียงของความศักดิ์สิทธิ์ ทำให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ รวมถึงคนไทยเองก็นิยมเดินทางมาขอพรถึงที่นี่กันด้วยเช่นกัน
**นัต หรือเทพเทวาอารักษ์ผู้คุ้มครอง ที่คนพม่าเคารพนับถือมาตั้งแต่สมัยโบราณ ก่อนพุทธศาสนาจะเข้ามา โดยเทพเหล่านี้ มักจะเป็นคนที่เคยสร้างความดี หรือมีวีรกรรมน่าประทับใจ และเป็นวิญญาณยังมีความห่วงใยในภาระหน้าที่บ้านเมืองและผู้คนเบื้องหลัง ทำให้ไม่อาจไปเกิดได้ ดังนั้นจึงกลายเป็นนัต ที่จะคอยคุ้มครองรักษาบ้านเมือง หรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ**
การสักการะรูปปั้นเทพทันใจ (นัตโบโบจี ) นิยมถวายของจำพวก ดอกไม้ ผลไม้ โดยเฉพาะมะพร้าวอ่อน กล้วย ผ้าคล้องคอ ร่มฉัตรกระดาษ วิธีการอธิษฐาน ให้เอาเงินธนบัตร 2 ใบม้วนเป็นกรวย แล้วไปใส่มือของเทพทันใจ จากนั้นก็เอาหน้าผากของตนเองไปแตะกับนิ้วชี้ของเทพทันใจ พร้อมกับอธิฐานขอพร เสร็จแล้วดึงธนบัตรกลับมา 1 ใบเพื่อเก็บรักษาไว้เป็นสิริมงคล
นอกจากนี้ ด้านวิหารฝั่งตรงข้ามกับเจดีย์โบตะตาวยังมีเทพอีกองค์หนึ่ง ซึ่งคนไทยนิยมเรียกกันว่า เทพกระซิบ หรือ นัตเมี๊ยะนานหน่วย ตามตำนานเล่าว่านางเป็นธิดาของพญานาคที่ศรัทธาในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก เชื่อกันว่าถ้าไปกระซิบขออะไรแล้วก็มักจะสมหวัง..
โปรแกรมไฮไลต์สำหรับวันนี้ คือการไปกราบนมัสการ พระมหาเจดีย์ชเวดากอง (Shwedagon Pagoda) 1 ใน 5 มหาบูชาสถานศักดิ์สิทธิ์ของพม่าอันประกอบด้วย พระมหาเจดีย์ชเวดากองแห่งเมืองย่างกุ้ง เจดีย์ชเวมอว์ดอว์แห่งเมืองหงสาวดี พระธาตุอินทร์เเขวนแห่งเมืองไจ๊ก์โด เจดีย์ชเวสิกองเมืองพุกาม และพระมหามัยมุนีแห่งเมืองมัณฑะเลย์
เหตุผลที่เก็บเจดีย์ชเวดากองไว้เป็นรายการสุดท้ายของวัน ก็เนื่องจากว่าในตอนเย็นจนถึงค่ำจะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการมาไหว้เเละเที่ยวชมพระมหาเจดีย์ชเวดากอง (ไม่ร้อนแดดในตอนกลางวัน โดยเฉพาะเมื่อต้องเดินเท้าเปล่า, ได้ชมความงดงามตอนพระอาทิตย์ตกดิน ตลอดจนแสงสีในยามค่ำคืน)
พระมหาเจดีย์ชเวดากอง ตั้งอยู่บริเวณเนินเขาเชียงกุตระของเมืองย่างกุ้ง เชื่อกันว่าเป็นมหาเจดีย์ที่บรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า เป็นหนึ่งในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวพม่านับถือมากที่สุด นับเป็นเจดีคู่บ้านคู่เมืองของชาวพม่ามากว่า 2,500 ปี
คุณไคน์ไกด์ของเราเล่าให้ฟังว่า จากเรื่องเล่าในตำนาน เจดีย์ชเวดากองนั้นสร้างขึ้นเมื่อกว่า 2,500 ปีที่แล้วโดยพี่น้องพ่อค้าชาวมอญ 2 คน ซึ่งได้มีโอกาสไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าภายหลังจากที่เพิ่งได้ตรัสรู้ พระองค์ได้ประทานพระเกศาให้พ่อค้าทั้งสองมา 8 เส้น พ่อค้าทั้งสองกลับมายังพม่าและได้ความช่วยเหลือจากกษัตริย์มอญ พระเจ้าโอกะละปา ในการประดิษฐานพระเกศาธาตุที่บริเวณเนินเขาเชียงกุตระ โดยการสร้างเจดีย์ชเวดากองขึ้น
มหาเจดีย์ชเวดากองตั้งอยู่บนเนิน มีทางขึ้นทั้งสี่ทิศ ในแต่ละทางขึ้นจะมีรูปปั้นคล้ายสิงโตมีชื่อเรียกว่าชินเต ประดับไว้เป็นคู่หน้าทางขึ้นเพื่อปกปักรักษาพระเจดีย์ตามความเชื่อ ทางขึ้นทางด้านทิศตะวันออกและทางทิศใต้มีร้านขายธูปเทียน ทองคำเปลว หนังสือ และวัตถุมงคลต่างๆ (นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเสียค่าเข้าคนละ 8,000 จ๊าด)
ผู้ที่เข้ามานมัสการหรือเยี่ยมชมมักนิยมเดินตามเข็มนาฬิกาวนรอบพระเจดีย์ เริ่มต้นที่ศาลทางทิศตะวันออก ซึ่งประดิษฐานพระพุทธรูปพระกกุสันธพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าพระองค์แรกในภัทรกัลป์นี้ ถัดไปเป็นศาลทางทิศใต้ ประดิษฐาน พระพุทธรูปพระโกนาคมนพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าองค์ที่สองในภัทรกัลป์นี้ ถัดไปศาลทางทิศตะวันตก เป็นศาลของ พระกัสสปพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าองค์ที่สามในภัทรกัลป์นี้ และสุดท้ายศาลทางทิศเหนือ เป็นศาลของ พระโคตมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน (พระพุทธเจ้าองค์ต่อไปเป็นพระโพธิสัตว์ ผู้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ที่ 5 และองค์สุดท้ายแห่งภัทรกัลป์นี้ คือ พระศรีอารยเมตตรัย)
คุณไคน์แนะนำว่าจุดถ่ายภาพที่สวยงามที่สุดคือบริเวณ ลานอธิษฐาน (Wish Fulfilling Place) ด้านทางเข้าทิศเหนือ
มหาเจดีย์ชเวดากองเป็นเจดีย์ที่สำคัญและใหญ่ที่สุดในเมืองย่างกุ้ง เราจะสามารถมองเห็นเจดีย์ได้จากมุมต่างๆของเมือง ชาวพม่าถือกันว่าการได้มาสักการะมหาเจดีย์ชเวดากอง ถือเป็นมงคลอันยิ่งใหญ่ที่ทุกคนต้องหาโอกาสมาให้ได้สักครั้งในชีวิต เราในฐานะนักท่องเที่ยวถ้ามาถึงย่างกุ้งแล้วจึงไม่ควรพลาดโอกาสนี้เช่นกัน.. “O_O”
Credit VDO: Milosh Kitchovitch
แชร์เรื่องนี้: