ซิงเคว เทร์เร (Cinque Terre) มีความหมายว่า ห้าแผ่นดิน (Five Lands) เป็นชื่อหมู่บ้านที่ตั้งเรียงรายอยู่บนพื้นที่ชายฝั่งทะเลในแคว้น Liguria จังหวัด La Spezia ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอิตาลี ประกอบไปด้วยหมู่บ้านประมงเก่าแก่ 5 แห่ง ซึ่งมีจุดเด่นคือบ้านเรือนที่มีสีลูกกวาดน่ารักๆ ตั้งเรียงรายอยู่ตามเนินเขาสูงต่ำลดหลั่น เป็นทัศนียภาพสวยงามจนกลายแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลกแห่งหนึ่งของอิตาลี ได้รับการยกย่องให้เป็น UNESCO World Heritage Site เป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางในฝันของหลายๆคนที่อยากเดินทางมาเพื่อให้เห็นด้วยตาตนเองสักครั้งในชีวิต… (รวมถึงเรา) ^^
ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการไปเที่ยว Cinque Terre คือฤดูร้อนของยุโรป ระหว่างเดือนพฤษภาคมจนถึงเดือนกันยายน เเต่ก็ต้องเเลกกับราคาที่พักที่เเพงและจำนวนนักท่องเที่ยวที่มากมายจนเเออัด (ซึ่งจะเป็นเหมือนกันในเเทบทุกที่สำหรับช่วงเวลานี้)
การเดินทาง: สามารถมาจากเมืองท่องเที่ยวต่างๆของอิตาลี เช่น โรม มิลาน ฟลอเรนซ์ ได้อย่างสะดวก โดยขึ้นรถไฟมาลงที่ สถานี La Spezia Centrale อันถือได้ว่าเป็นประตูสู่การท่องเที่ยว Cinque Terre เลยก็ว่าได้ เพราะเป็นจุดเริ่มต้นของรถไฟสายท้องถิ่นที่วิ่งเชื่อมระหว่างหมู่บ้านทั้งห้า และยังเป็นจุดจำหน่ายบัตร Cinque Terre Card ที่จำเป็นต้องใช้ในการเดินทางท่องเที่ยว Cinque Terre ด้วย
ถ้าเดินทางมาจากเมืองตากอากาศทางตอนใต้ของฝรั่งเศส เช่น คานส์ นีซ โมนาโค ฯลฯ ก็สามารถโดยสารรถไฟไปเปลี่ยนเป็นขบวนสายท้องถิ่นที่ เมืองเจนัว (Genoa) ของอิตาลีได้ โดยรถไฟจะแล่นผ่านหมู่บ้านทั้งห้าเลยเช่นกัน (ย้อนทางกับเส้นที่มาจากสถานี La Spezia)
รถไฟสายท้องถิ่นที่วิ่งผ่านหมู่บ้านทั้งห้าของ Cinque Terre จะเริ่มตั้งเเต่ตีห้าไปจนถึงเที่ยงคืน มีรถชั่วโมงละ 1-3 ขบวน โดยเเต่ละแห่งก็จะมีสถานีประจำหมู่บ้านที่ลงรถไฟแล้วเดินต่ออีกเล็กน้อยก็ถึงเลย ยกเว้นหมู่บ้าน Corniglia ที่ต้องนั่งต่อรถไปอีกทอดเพราะตั้งอยู่บนเขา
Cinque Terre Treno Card: คือบัตรโดยสารรถไฟที่ใช้เดินทางระหว่างหมู่บ้านทั้งห้าแห่งได้โดยไม่จำกัดครั้งภายในระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งสะดวกและประหยัดเงินกว่าการซื้อตั๋วเป็นรายเที่ยว (ค่าโดยสารรถไฟมีราคาประมาณ 4 ยูโรต่อเที่ยว) Cinque Terre Train Card มีราคา 13 ยูโร (แบบหนึ่งวัน) และ 23 ยูโร (แบบสองวัน) หาซื้อได้ที่สถานีรถไฟ La Spezia หรือตามสถานีรถไฟของเเต่ละหมู่บ้านทั้งห้าแห่ง หรือซื้อแบบออนไลน์ได้ที่ https://card.parconazionale5terre.it/en
นอกจากนี้ยังมี Cinque Terre Trekking Card ที่ใช้สำหรับการเดินเท้าเทร็คกิ้งระหว่างหมู่บ้านทั้งห้า (เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ได้รับความนิยมในหมู่นักท่องเที่ยวที่มีเวลา) ซึ่งมีด่านเก็บค่าบำรุงอุทยาน/ค่าผ่านทางอยู่บนเส้นทางด้วย
สิ่งที่ต้องปฎิบัติในการใช้บัตรโดยสารรถไฟ Cinque Terre Train Card ก็คือ ต้องเเตะบัตรที่เครื่อง Validate (เครื่องสีเขียวๆ พบได้ตามชานชลาของสถานีรถไฟทุกเเห่ง) ก่อนขึ้นรถไฟในเเต่ละเที่ยวเสมอ
หมู่บ้านทั้งห้าของ Cinque Terre (ซิงเคว เทร์เร) ที่ทอดยาวไล่เรียงกันไปตามแนวชายฝั่งทะเล ประกอบไปด้วย หมู่บ้าน Riomaggiore (ริโอมัจจอร์เร่), Manarola (มานาโรล่า), Corniglia (คอร์นีเลีย), Vernazza (เวร์นาซซา) และ Monterosso al Mare (มอนเตรอสโซ อัล มาเร) พื้นที่ในบริเวณนี้ตลอดเเนวชายฝั่ง เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติ Parco Nazionale delle Cinque Terre ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลก (World Heritage Site) จากองค์การ UNESCO ในปี ค.ศ 1997
ลักษณะภูมิประเทศและทำเลของหมู่บ้านทั้งห้า ตั้งอยู่บนหน้าผาสูงชันตามแนวชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนี่ยน แต่ละหมู่บ้านจะมีทางเดินและทางรถไฟที่เชื่อมถึงกัน คนในหมู่บ้านเคยมีอาชีพเป็นชาวประมง นอกจากนี้ยังมีการทำไร่องุ่น ผลิตไวน์ และทำขนมปังด้วย
รูปแบบ-ทางเลือกในการท่องเที่ยว Cinque Terre: วิธีเเรกคือพักในเมือง La Spezia อันเป็นเมืองหน้าด่านและต้นทางรถไฟ ข้อดีคือสามารถหาที่พักได้ในราคาที่ไม่เเพงนัก โดยอาจซื้อบัตรโดยสารรถไฟ Cinque Terre Card แบบหนึ่งวัน แล้วเดินทางไปเที่ยวตามหมู่บ้านทั้งห้าเเบบวันเดย์ทริป หรืออาจเลือกพักในหมู่บ้านแห่งใดแห่งหนึ่ง เพื่อจะได้ซึมซับบรรยากาศและเที่ยวชมได้อย่างเต็มที่ (ที่พักอาจมีราคาแพง โดยเฉพาะในช่วงที่เป็นฤดูท่องเที่ยว) สามารถซื้อบัตร Cinque Terre Card แบบสองวันเพื่อให้สามารถใช้ได้อย่างครอบคลุม เราเลือกใช้วิธีนี้ โดยพักที่หมู่บ้าน Manarola (มานาโรล่า) ซึ่งทำให้มีโอกาสได้ถ่ายรูปหมู่บ้านในช่วงหัวค่ำได้
หมู่บ้าน Manarola (มานาโรล่า)
ถ้าเริ่มต้นจากสถานีรถไฟ La Spezia หมู่บ้าน Manarola จะอยู่ป้ายที่สอง (ถัดจากหมู่บ้าน Riomaggiore) พอลงรถไฟ ต้องเดินลากกระเป๋าลอดอุโมงค์ยาวเพื่อเข้าไปยังตัวหมู่บ้านที่ตั้งอยู่อีกด้านหนึ่งของภูเขา
ออกจากอุโมงค์ เดินไปทางด้านซ้ายมือ เป็นย่านที่มีร้านค้า ร้านอาหาร และที่พักตั้งอยู่มากมาย เป็นย่านที่คึกคักที่สุดของหมู่บ้านนี้ ถ้าเดินต่อไปอีกจนสุดถนน จะเป็นท่าเรือเเละจุดชมวิวที่นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายรูปกัน
จากบริเวณท่าเรือ เดินลัดเลาะไปตามทางเดินเเคบๆ เลียบทะเลไปทางขวาอีกประมาณหนึ่งร้อยเมตร จะเป็นจุดชมวิวและถ่ายรูปยอดนิยม ภาพของอาคารบ้านเรือนสีพาสเทลที่ปลูกเรียงรายไปตามเนินผาของหมู่บ้าน ประดับด้วยเเสงไฟ ตัดกับสีของท้องฟ้าและท้องทะเลยามค่ำคืนของที่นี่ เป็นภาพที่โด่งดังไปทั่วโลกและถูกนำไปใช้โปรโมทการท่องเที่ยวของซิงเคว เทเร มากที่สุดภาพหนึ่งเลยทีเดียว
จุดชมวิวจากมุมสูงต้องเดินขึ้นบันไดนี้ไปอีกเล็กน้อย
นี่คือเหตุผลที่นักท่องเที่ยวจำนวนมาก (รวมถึงเรา) ตัดสินใจเลือกมาพักที่หมู่บ้านนี้ ภาพถ่ายในช่วงหัวค่ำเป็นหนึ่งในภาพจากการเดินทางที่จะอยู่ในความทรงจำของเราไปอีกนาน.. ^^
เราทานมื้อค่ำที่ร้านอาหารบริเวณท่าเรือใกล้กับที่พัก ก่อนกลับไปนอน เคล้าเสียงลมและคลื่นที่ได้ยินเบาๆจากในห้องพัก..
เช้าวันรุ่งขึ้น เราเดินเที่ยวและสำรวจรอบๆหมู่บ้าน จากตรงปากอุโมงค์ที่มาจากสถานีรถไฟ ถ้าเดินเลี้ยวขวาขึ้นเนินไปตามถนนจะพบโบสถ์ประจำหมู่บ้าน Chiesa di San Lorenzo ถัดเลยจากโบสถ์ออกไปเล็กน้อยเป็นป้ายรถประจำทางและลานจอดรถสำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาโดยรถยนต์
หมู่บ้าน Monterosso al Mare (มอนเตรอสโซ อัล มาเร)
หมู่บ้าน Monterosso al Mare เป็นหมู่บ้านที่ใหญ่ที่สุดในซิงเคว เทเร ตัวหมู่บ้านเเบ่งออกเป็นสองเขต คือเขตเมืองเก่าและเขตเมืองใหม่ โดยมีภูเขาคั่นอยู่ตรงกลาง สถานีรถไฟจะตั้งอยู่ในบริเวณของเขตเมืองใหม่
เขตเมืองใหม่ของหมู่บ้าน Monterosso เป็นย่านที่เต็มไปด้วยความคึกคัก มีชีวิตชีวา บ้านเรือนและร้านรวงต่างๆ ทาสีสันฉูดฉาดตั้งอยู่ริมชายหาดที่มีทรายสีขาวทอดยาวไปจรดหน้าผา สาเหตุหนึ่งที่ทำให้หมู่บ้านแห่งนี้ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวมากที่สุดก็เพราะเป็นหมู่บ้านเดียวที่มีเเนวชายหาดทอดยาว เหมาะในการเล่นน้ำ นอนอาบเเดด โดยเฉพาะในช่วงซัมเมอร์ จะเป็นฤดูที่มีนักท่องเที่ยวหนาแน่นมากที่สุด
จากบริเวณสถานีรถไฟในเขตเมืองใหม่ เดินเลียบชายหาดไปทางซ้ายมือเรื่อยๆ จะมองเห็นอุโมงค์ลอดใต้ภูเขาซึ่งจะนำเราไปยังเขตเมืองเก่าซึ่งตั้งอยู่อีกด้านหนึ่งของภูเขา
แทนการมุ่งตรงไปยังหมู่บ้าน เราเลือกเดินขึ้นบันไดไปบนเนินเขาเหนืออุโมงค์ เพื่อไปชม Torre Aurora หรือ ป้อมอรุณรุ่ง (Dawn Tower) ซึ่งสร้างมาตั้งเเต่ช่วงศตวรรษที่ 16 เพื่อใช้เป็นป้อมสังเกตการณ์เรือของโจรสลัด ซึ่งถือเป็นศัตรูสำคัญของชาวบ้านในสมัยนั้น
เหนือป้อมขึ้นไปคือ โบสถ์ Convento Frati Cappuccini ภายในมีภาพเขียนผลงานของ เเอนโทนี แวน ไดค์ (Anthony Van Dyck) จิตรกรคนสำคัญประจำราชสำนักพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 แห่งอังกฤษในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 17 ด้านหน้าโบสถ์มี รูปปั้นนักบุญฟรานซิสกับหมาป่า (St Francis and the wolf) ผลงานของ Silvio Monfrini จากจุดนี้มองลงมาจะเห็นตัวเมืองเก่าเเละชายหาด นับเป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุดจุดหนึ่งของหมู่บ้าน Monterosso
เดินชมวิวไปเรื่อยๆ ลงเนินไปอีกเล็กน้อยก็จะถึงเขตเมืองเก่า ที่มีจตุรัส Piazza Garibaldi เป็นศูนย์กลางหลักของเมือง บริเวณนี้จะรายล้อมไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร ที่พัก และอาคารบ้านเรือนที่ตั้งเบียดเสียดกัน
Church of San Giovanni Battista เป็นโบสถ์เก่าเเก่สไตล์กอธิค สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 13 มีหอนาฬิกาที่เดิมเคยใช้เป็นป้อมสังเกตการณ์
จากบริเวณชายหาด ด้านขวามือจะมองเห็นป้อม Torre Aurora และรูปปั้นนักบุญฟรานซิสกับหมาป่าที่อยู่เหนือขึ้นไปได้อย่างชัดเจน ส่วนด้านซ้ายมือจะเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางเดินป่าระหว่างหมู่บ้าน (Cinque Terre Hike) ที่สามารถลัดเลาะไปตามไหล่เขาริมทะเลไปถึงยังหมู่บ้าน Vernazza ได้
ขากลับเราใช้ทางเดินลอดอุโมงค์ เดินกลับไปขึ้นรถไฟที่เขตเมืองใหม่ เพื่อไปเที่ยวยังหมู่บ้านถัดไป..
ตอนหน้า: หมู่บ้าน Vernazza และ Riomaggiore
แชร์เรื่องนี้: