29-November-24
  • Menu

เยอรมนี: Rothenburg ob der Tauber – เมืองแห่งเทพนิยายแสนสวย บนเส้นทางสายโรแมนติก

Home » เยอรมนี: Rothenburg ob der Tauber – เมืองแห่งเทพนิยายแสนสวย บนเส้นทางสายโรแมนติก

Loading

โรเธนเบิร์ก ออบ เดียร์ เทาเบอร์ (Rothenburg ob der Tauber) เป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวหลายๆคนยกย่องว่าสวยงาม และมีเสน่ห์ที่สุดในบรรดาเมืองน้อยใหญ่ต่างๆ ที่ตั้งอยู่เรียงรายบนถนนสายโรเเมนติกแห่งแคว้นบาวาเรียของเยอรมนี เป็นเมืองจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกปีละหลายล้านคน

เมืองนี้ตั้งอยู่ในหุบเขาทางบริเวณตอนเหนือของแคว้นบาวาเรีย ห่างจากเมือง Wurzburg ซึ่งถือเป็นต้นทางของถนนสายนี้ประมาณ 90 กิโลเมตร สามารถเดินทางไปได้โดยทางรถไฟหรือรถบัสโดยสารประจำทาง แต่วิธีที่ดีและสะดวกที่สุดก็คือการเช่ารถขับไปเอง โดยอาจเริ่มที่เมือง Wurzburg ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือ หรือจะไปตั้งต้นที่เมือง Füssen ทางตอนใต้ของเเคว้นบาวาเรีย ซึ่งเป็นที่ตั้งของปราสาทในเทพนิยาย นอยชวานชไตน์ (Schloss Neuschwanstein) อีกหนึ่งเเหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมก็ได้ โดยเราสามารถเลือกเเวะเที่ยวชมหรือพักค้างคืนตามเมืองรายทางของถนนเส้นนี้ได้ตามสะดวก

รีวิวฉบับเต็ม:  โรดทริป:  Bavaria Romantic Route

เรามาถึงโรเธนเบิร์กฯในตอนบ่าย เส้นทางช่วงก่อนจะถึงเมืองเป็นถนนเล็กๆที่ตัดผ่านหมู่บ้านชนบท ทุ่งหญ้าสีเขียว เป็นภาพที่สวยงาม..

ประมาณสอง-สามกิโลเมตรก่อนจะถึง แวะถ่ายรูปที่จุดชมวิวบนเนินเขาข้างทาง สามารถมองเห็นวิวเมืองตรงหน้าได้อย่างเต็มตา

เมืองที่มีชื่อว่า โรเธนเบิร์ก ในยุโรปมีอยู่หลายเมือง เวลาพูดถึงเมืองนี้ จึงต้องเรียกชื่อต่อท้ายด้วยคำว่า ออบ เดียร์ เทาเบอร์ (ซึ่งแปลว่า “เมืองแห่งป้อมปราการสีแดงเหนือแม่น้ำเทาเบอร์”) ในอดีตเมืองนี้เคยมีฐานะเป็นเมืองปกครองอิสระของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (Free Imperial City of the Roman Empire) ในช่วงปี ค.ศ.1200 เป็นศูนย์กลางแห่งการติดต่อค้าขาย มีความเจริญรุ่งเรืองมากในยุคนั้น ต่อมาในประมาณปี ค.ศ.1800 โรเธนเบิร์ก ออบ เดียร์ เทาเบอร์ ก็ได้ถูกรวมอยู่ในรัฐบาวาเรียของเยอรมนี

ย่านเมืองเก่าของโรเธนเบิร์กคือส่วนที่ตั้งอยู่ภายในแนวกำแพงเมืองโบราณ ที่สร้างล้อมรอบตัวเมืองเอาไว้ทั้งสี่ด้าน ปัจจุบันยังคงได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี มีป้อมประตูทางเข้าเมืองหกแห่ง คือ  Rödertor (Röder Gate), Galgentor (Gallows Gate), Klingentor (Klingen Gate), Burgtor (Castle Gate), Kobolzeller Tor (Kobollzell Gate) และ Spitaltor (Spital Gate)

ภายในบริเวณเขตเมืองเก่าจะเป็นอาคารบ้านเรือนในยุคกลาง สไตล์ Half-Timberred ที่มีหน้าจั่วและหลังคาสีเเดง-ส้ม โบสถ์เก่าเเก่ และถนนที่ปูด้วยหินตามแบบโบราณ ปัจจุบันอาคารเหล่านี้ได้กลายสภาพเป็นโรงแรมที่พักสำหรับนักท่องเที่ยว ร้านอาหาร และร้านขายสินค้าที่ระลึกเสียเป็นส่วนใหญ่ ชาวเมืองที่เป็นคนท้องถิ่นเองจริงๆ ส่วนใหญ่มักจะมีบ้านพักอาศัยอยู่บริเวณด้านนอกของกำเเพงเมือง

St. James’ Church (ค.ศ.1311)

ศาลาว่าการเมือง (Rathausturm – Altes Rathaus) ตั้งอยู่ในบริเวณจตุรัส Marktplatz ประกอบด้วยอาคารสองหลัง โดยอาคารด้านหน้าจะเป็นเเบบสไตล์ เรอเนสซองค์ (ค.ศ. 1572-1578) ส่วนอาคารสีขาวด้านหลังสไตล์โกธิค (ค.ศ.1250-1400) สามารถขึ้นไปชมวิวบนหอคอยที่มีความสูง 200 ฟุตนี้ได้ด้วย

ใกล้กับศาลาว่าการเมือง อาคารสีขาวที่มีนาฬิกาอยู่ด้านหน้า เมื่อก่อนเคยเป็นโรงเหล้าที่มีชื่อว่า die Ratstrinkstube อดีตเคยเป็นสถานที่ดวลเหล้าระหว่างนายกเทศมนตรีนุชและนายพลทิลลี่ โดยมีเรื่องเล่าขานกันว่าในสมัยสงคราม 30 ปี เมืองนี้ถูกปิดล้อมโดยกองทัพของนายพลทิลลี่ นายพลได้ยื่นข้อเสนอว่า หากใครสามารถดื่มไวน์ปริมาณ 3.5 ลิตรหมดได้ในทีเดียว จะปล่อยเมืองนี้ให้เป็นอิสระ ในวันนั้นนายกเทศมนตรีนุช (Nusch) รับคำท้าและก็ทำได้สำเร็จ จึงทำให้เมืองรอดพ้นจากการถูกทำลายและยังคงรักษาความสวยงามมาได้จนถึงทุกวันนี้ ปัจจุบันโรงเหล้าเเห่งนั้น (die Ratstrinkstube) ได้กลายมาเป็นศูนย์บริการข้อมูลท่องเที่ยว (Tourist Information Office) ของเมืองไปเเล้ว

จากจตุรัส Marktplaz เดินไปตามถนน Herrngasse จะพบกับป้อมและประตูเมืองทิศตะวันตก ซึ่งมีชื่อว่า Burgtor หรือ Castle Gate ด้านนอกประตูเมืองเป็นสวน Castle Garden พื้นที่บริเวณนี้ในอดีตเคยเป็นที่ตั้งของปราสาท Hohenstaufen (ค.ศ. 1142) แต่ได้ถูกทำลายลงไปด้วยแผ่นดินไหวในปี ค.ศ.1356  บริเวณนี้เป็นจุดชมวิวของหุบเขาและหมู่บ้าน Tauber ได้เป็นอย่างดี 

เราพบกับกลุ่ม Rothenburg Night Watchman Guided Tours ที่บริเวณนี้พอดี จึงได้ผสมโรงเดินตามและฟังการบรรยายไปด้วย โดยไก้ด์ทัวร์จะพากลุ่มนักท่องเที่ยวเดินไปตามบริเวณจุดสำคัญต่างๆของเมือง พร้อมกับเล่าประวัติความเป็นมาไปด้วยพร้อมกัน โดยสอดเเทรกมุกขำๆลงไปด้วยตลอด สร้างความเพลิดเพลินและได้ความรู้ดี^^

ข้อมูลของ Guided Tours แนะนำว่าถ้าใครมีเวลาลองไปร่วมกิจกรรมดู สนุกสนานและได้ความรู้ดี มีหลายรอบหลายภาษา

หลังจากเดินตาม Night Watchman Guided Tours ไปจนจบลงที่บริเวณจตุรัส Marktplaz แล้ว เราเดินย้อนลงไปทางทิศใต้ตามถนน Untere Schmiedgasse ผ่านร้านขายของที่ระลึกและร้านขนมสวยๆ สักพักก็เจอกับจุดถ่ายรูปยอดนิยมประจำเมือง Plonlein (แปลว่า Little Square) และ Siebers Tower

Plonlein (เพลินไลน์) เป็นมุมที่ (ว่ากันว่า) สวยที่สุดของเมือง ที่นี่คือจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายรูปกันมากที่สุดจุดหนึ่ง จนกลายเป็นภาพสัญลักษณ์ของเมืองโรเธนเบิร์ก ออบ เดียร์ เทาเบอร์ ไปแล้ว บ้านโครงไม้ซุงทรงสูงยาว เคียงคู่กับ Siebers Tower (ค.ศ.1385) ที่อยู่เยื้องไปด้านหลัง รายล้อมไปด้วยบ้านทรงโบราณสีสันสดใส ที่ตั้งไล่ระดับสูงต่ำอย่างลงตัว เป็นภาพในฝันของหลายๆคน ที่ต้องการดั้นด้นเดินทางมาเพื่อให้ได้เห็นด้วยตัวเองสักวันหนึ่ง.. ^^

ที่พักของเราในคืนนี้เป็นโรงเเรมซึ่งอยู่ในเขตเมืองเก่า มีชื่อว่า Tilman Riemenschneider ตั้งอยู่ไม่ไกลจาก Weißer Turm หรือ White Tower 

เช้าวันรุ่งขึ้น เราตื่นแต่เช้าเพื่อออกไปเดินทัวร์รอบกำเเพงเมืองเก่า โดยไปเริ่มต้นที่ป้อมประตู Klingentor (Klingen Gate) ทางด้านทิศเหนือ ซึ่งเป็นจุดที่มีบันไดขึ้นไปบนกำเเพงได้

Klingentor (Klingen Gate)

ด้านบนของกำแพงเมืองโบราณ ที่สภาพเดิมได้รับการอนุรักษ์เอาไว้เป็นอย่างดี มีลักษณะเป็นทางเดินกว้างประมาณหนึ่ง 70-80 เซ็นติเมตรยาวตลอดไปตามเเนวกำแพงหินที่มีหลังคาคลุม จากด้านบนกำเเพงเราสามารถมองเห็นวิวทั้งด้านภายนอกกำเเพงเเละอาคารบ้านเรือนภายในเขตเมืองเก่าได้อย่างชัดเจน

Rödertor (Röder Gate) เป็นประตูเมืองด้านทิศตะวันออกที่ยังมีหอสังเกตุการณ์ (Lookout Tower), ด่านเก็บค่าผ่านทาง (Tool Booth) และป้อมยาม (Gatekeeper’s Cottage) ในสมัยโบราณ ตั้งอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟ จึงเป็นประตูที่มีผู้คนเดินผ่านเข้าออกมากที่สุดแห่งหนึ่ง มีลานจอดรถและห้องน้ำให้บริการ (อยู่ด้านนอกกำเเพงเมือง)

Weißer Turm หรือ White Tower มองจากบนประตู Roder Gate

บันไดขึ้นลงที่มีเป็นระยะๆตามแนวกำเเพง

ที่บริเวณกำเเพงเมืองด้านทิศใต้ เป็นจุดชมวิวที่ดีอีกจุดหนึ่ง

เราใช้เวลาเดินเที่ยวชมเมืองจากบนกำเเพงอยู่ประมาณหนึ่งชั่วโมงเศษๆ ถือเป็นประสบการณ์ที่นักท่องเที่ยวหลายๆคนอาจไม่มีโอกาสได้ทำ เนื่องจากข้อจำกัดทางด้านเวลา (ถ้าไม่ได้พักค้างคืนที่นี่)

หลังจากกลับโรงแรมเพื่อกินอาหารเช้าแล้วเก็บของเพื่อเดินทางต่อไปตามถนนสายโรเเมนติก

เพราะว่า “ความสุขคือการเดินทาง ไม่ใช่จุดหมายปลายทาง…”   \O_O/